WGI ประเมินอะไร
WGI ประเมินคุณภาพของธรรมาภิบาลของรัฐของแต่ละประเทศ ได้แก่ กระบวนการตรจสอบ การกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิผล และการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมบริหารจัดการและกำกับดูแลสถาบันของรัฐ เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำหนดแนวทางปฏิรูปการจัดการที่เฉพาะเจาะจงในบริบทของแต่ละประเทศ โดย WGI เป็นดัชนีผสมที่ใช้ผลประเมินเฉพาะด้านจากดัชนีประเมินธรรมาภิบาลที่จัดโดยองค์กรอื่น ๆ เช่น Global Competitiveness Heritage, Index of Economic Freedom และ Democracy Index ของ Economic Intelligence Unit การประเมินต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ใน 213 ประเทศทั่วโลก โดยเป็นการประเมินทุกปี
วิธีการประเมินของ WGI
WGI ถูกวัดอยู่ในรูปของคะแนนซึ่งเป็นค่ามาตรฐาน (Standard Value) มีค่าอยู่ระหว่าง -2.5 และ 2.5 โดยค่าคะแนนที่มาก หมายถึง มีธรรมภิบาลในระดับสูง ในขณะที่ค่าที่น้อย หมายถึง มีธรรมภิบาลในระดับตํ่า โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามหลายหมื่นคนทั่วโลก รวมถึงผู้เชี่ยวชาญอีกหลายพันรายในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน และภาคเอกชนจากแหล่งข้อมูล 33 แหล่ง
หัวข้อการประเมินของ WGI
WGI วัดธรรมาภิบาลของภาครัฐใน 6 มิติ โดยมุ่งเน้นการวัดความสามารถของภาครัฐในด้านต่างๆ ได้แก่
- Control of Corruption การควบคุมไม่ให้เกิดการใช้อำนาจของรัฐในทางที่ผิด
- Government Effectiveness คุณภาพของบริการรัฐ ความเป็นอิสระของหน่วยงานรัฐ และการดำเนินการตามนโยบายที่ตั้งไว้
- Political Stability and Absence of Violence/ Terrorism การควบคุมเสถียรภาพทางการเมืองและปราศจากความรุนแรง
- Regulatory Quality การบังคับใช้กฎหมายให้เกิดการพัฒนาของภาคธุรกิจ
- Rule of Law การบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
- Voice and Accountability ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินการของรัฐและมีเสรีภาพ
ผลประเมินประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2563 ไทยได้รับการประเมินในด้าน Government Effectiveness อยู่ที่ 65.87% และ Regulatory Quality อยู่ที่ 60.58% (อันดับเปอร์เซ็นไทล์ 100 เป็นอันดับสูงสุด) โดยเป็นอันดับที่สูงกว่ากลุ่มประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง (Upper middle-income countries) ที่สามารถเทียบเคียงกับประเทศไทยได้ สำหรับด้านที่ได้คะแนนไม่ดี ได้แก่ Control of Corruption อยู่ที่ 39.42% ซึ่งเป็นค่าคะแนนคงที่ระหว่าง 39 – 40% และ Voice and Accountability อยู่ที่ 21.14% ซึ่งต่ำกว่าอันดับของกลุ่มประเทศเดียวกัน อีกทั้งยังมีแนวโน้มต่ำลงนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552